เกี่ยวกับนครโค้ด


สารบัญ

#แนะนำตัวสั้นๆ

สวัสดีครับ 🙏 ผมชื่อ นคร สินผดุง ชื่อเล่น บอล เป็นเจ้าของเว็บไซต์แห่งนี้ และผู้สอนคอร์สเรียนทั้งหมดเพียงหนึ่งเดียวครับ กล่าวคือผมไม่มีทีมงานนั้นเอง มีเพียงผมคนเดียวที่ทำงานทุกๆด้านครับ

#เกี่ยวกับเว็บไซต์

สำหรับ nakorncode.com เป็นเว็บไซต์มีจุดประสงค์สำหรับการเขียนเว็บบล็อกส่วนตัว ในหัวข้อการพัฒนาเว็บไซต์เป็นหลัก และเพื่อเป็นสื่อโฆษณาการขายคอร์สเรียนต่างๆที่ผมได้ทำไว้เพิ่มเติม

Fun Fact: ที่จริงคำว่า “นคร (Nakhon)” เขียนแบบนี้ เพราะปัจจุบันมันอ่านเป็นคำว่า “นกร (Nakorn)” มากกว่า อย่างไรก็ตามผมก็จะเลือกใช้ชื่อนี้แม้ว่ามันดูเหมือนจะอ่านผิดก็ตาม เนื่องจากเป็นชื่อที่ติดตามบัตรประชาชนไปเรียบร้อย จากเหตุผลที่มีครูท่านหนึ่ง (จำไม่ได้เลยว่าใคร) สอนผมเขียนชื่อตัวเองมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ผมเองก็เขียนชื่อนี้ไปตอนทำบัตรประชาชนและรวมถึง Username ในอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

#ประวัติส่วนตัวกับการเข้าสู่วงการโปรแกรมมิ่ง

ผมเกิดปี พ.ศ.2538 เป็นลูกชาวสวนธรรมดาคนหนึ่ง ณ ปริมณฑล จึงทำให้ผมดูเหมือนอาจจะไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆได้ง่ายขนาดนั้น บ้านก็ห่างจากตัวเมืองพอสมควรที่ใช้เวลานั่งรถไปกว่า 30-60 นาที แต่เนื่องจากพ่อผมเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือ PDA สมัยเก่าๆ ก็เลยทำให้ผมได้ มีโอกาส เข้าถึงง่ายมากกว่าเด็กลูกชาวสวนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่ทางบ้านผมซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนตัวให้ใช้งาน ก็เพื่อให้ผมมีเกมให้เล่นระหว่างที่ทางบ้านต้องออกไปทำงานทุกๆวัน หรือถ้าเรียกในมุมนึงก็คือ ให้คอมพิวเตอร์เลี้ยงลูกที่บ้าน ตั้งแต่อายุราวๆ 6-7 ขวบ ซึ่งสมัยนั้นก็น่าจะเป็น Windows 2000 อยู่

ผมจึงเป็นเด็กที่มีปัญหาที่เด็กหลายๆคนก็อาจจะเป็นกันก็คือ เป็นเด็กติดเกมและติดบ้าน เพราะรู้สึกสนุกที่จะเล่นคอมพิวเตอร์มากกว่าการจะไปเที่ยวข้างนอก อย่างไรก็ตามการอยู่บ้านของผมเพื่อเล่นคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้แปลว่าจะเล่นเกมเพียงอย่างเดียว บางทีผมก็ซนไปเรื่อย อย่างการลองหัดลง OS (Windows) ที่พ่อผมสอนให้ ศึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพราะอยากอัปเกรดคอมเก่าให้เล่นเกมแรงกว่านี้ หัดเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆผ่านออนไลน์อย่างระบบฟอรั่มต่างๆเพราะเล่นแต่เกมมันก็น่าเบื่อ จึงทำให้ผมเองก็กลายเป็นคนที่ ได้เปรียบ จากการมีประสบการณ์ใช้งานทางคอมพิวเตอร์มาหลายๆด้าน

จนมาถึงช่วงหนึ่งประมาณชั้นเรียน ม.3 ผมเริ่มได้หัดสร้างเว็บด้วยตนเองอย่างง่ายก่อนด้วย phpBB จากนั้นก็เริ่มหัดใช้โปรแกรมสำหรับสร้างเว็บอื่นๆอีกมากมาย เช่น Joomla WordPress XenForo เป็นต้น โดยใช้ร่วมกับ AppServ ตามคำแนะนำจากสักที่หนึ่งซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าไปอ่านมาจากไหน เพื่อเริ่มฝึกใช้งานติดตั้ง php และ MySQL

โดยมาภายหลัง ม.4 ทางโรงเรียนได้มีการสอนเขียนโปรแกรม นั้นนับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เขียนโค้ดขึ้นมาจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นผมแค่อาศัยลอง Download & Install แค่นั้น โดยภาษาแรกที่ได้เขียนก็คือ ภาษา C เพราะในยุคนั้นยังไม่มีบทเรียน Python ที่เข้าถึงได้ เนื่องจากส่วนตัวทุกวันนี้ผมก็ยังคิดว่า ภาษาแรกที่ทุกคนพอเขียนได้ก็คือภาษา Python มากกว่าอยู่ดี ภาษา C นั้นยากกว่ามาก และนำไปใช้ยากหากไม่ได้เขียนโปรแกรมขั้นสูง

อย่างไรก็ตามนั้นก็เป็นจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นของผม ที่ทำให้ผมเริ่มอยากเขียนโค้ดมากกว่าเดิมอย่างมาก ตั้งแต่การซื้อหนังสือตามร้านหนังสือทั่วไปมาอ่าน ลองฝึกเขียนหน้าเว็บด้วยตัวเองผ่าน ภาษา HTML, CSS และเริ่มสนุกกับการใช้สมัย Firefox ที่ต้องใช้ Firebug ในการ Inspect และ Element Editor ผ่าน Web Browser เพื่อดูผลลัพธ์ทันที สมัยนั้นจะทำยากกว่าและไม่ค่อยสะดวกเหมือนสมัยนี้

จากนั้นผมจึงได้เริ่มศึกษาหลายๆด้านและเกิดโปรเจคขึ้นมาหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น

  • เขียนภาษาโปรแกรมด้วย C# สมัยเรียน ม.5 ทำเป็นเกมแรกเลยคือ Bingo ปัจจุบันโปรเจคหายเพราะยังเก็บโค้ดผ่านทาง GitHub ไม่เป็น
  • เขียนภาษาโปรแกรม C++ สมัยเรียน ป.ตรี ทำเป็นเกมที่สองคือ Snake ที่เป็นงูกินอาหารตามจุดต่างๆแบบ Pixel Graphic โค้ดหายไปหมดแล้วเช่นกัน
  • ออกแบบเว็บไซต์ผ่าน Blogspot สมัยเรียน ป.ตรี เป็นเว็บบล็อกเกี่ยวกับเกมที่ชอบ ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว
  • สร้างเว็บเกมด้วย LAMP Stack (Linux, Apache, MySQL, php) เลียนแบบเกม Travian เคยตั้งใจจะให้เป็นโปรเจคจบ ป.ตรี และแน่นอนว่าก็เลิกทำไปแล้วเช่นกัน

ผลสรุปคือผลงานตั้งแต่ตอนเด็กๆ ปัจจุบันไม่มีตัวใดเหลืออยู่เลยครับ 😅 เหลือแต่ความรู้และประสบการณ์ที่ติดตัวมา

ก็ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วงการโปรแกรมเมอร์มา ก็ต้องขอบคุณ Google ที่เป็นด้านด่านผ่านทางแรกๆ ที่ทำให้เข้าถึงข้อมูลจนผมฝึกฝนด้วยตนเองได้ แม้ว่าคนรอบตัวผมจะไม่มีใครพอเป็นครูสอนเก่งๆได้เลย เพราะทางบ้านผมก็ไม่ได้มีเงินถึงขั้นสนับสนุนการศึกษาแบบส่วนตัวอีกด้วย

แต่ทางบ้านก็ยังสนับสนุนการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จึงทำให้ผมเหมือนจะเปิดโอกาสการเรียนรู้มากขึ้น แต่กลับกันพบว่าผมนั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เหมาะสมขนาดนั้น และเพื่อนๆหลายๆคนไม่ได้คลั่งเทคโนโลยีแบบเดียวกับผมเท่าไหร่นัก จึงทำให้เหมือนผมเป็นคนที่เก่งที่สุดในละแวกนั้น รวมถึงเหมือนเก่งที่สุดในมหาวิทยาลัย ก็เลยมีโอกาสได้เป็นวิทยากรกับรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง ก่อนที่จะมาลองทำคอร์สเรียนออนไลน์ในภายหลัง และเหมือนใครๆก็จะคาดหวังผมสูงเช่นกัน

ถึงผมเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ผมไม่เคยคิดหรอกว่าผมจะเก่งมากๆ คือผมคิดว่าผมก็เก่งแหละ แต่ไม่ถึงขั้นสุดที่จะไปถึงได้เลย ผมมีความรู้เยอะแต่ปัจจุบันยังยอมรับว่าผมยังสู้กับโปรแกรมเมอร์ดังๆตาม GitHub ไม่ค่อยได้หลายๆคนเลยด้วยซ้ำ ที่สามารถสร้างโปรเจคแบบ Open Source ที่หลายๆคนจะยอมรับได้ ซึ่งผมเองก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

และนอกจากนี้แล้ว เชื่อหรือไม่ผม จบมัธยมเกรด 2.38 และ จบปริญญาตรีเกรด 2.98 เท่านั้น ไม่ได้เกียรตินิยมใดๆ รางวัลก็เหมือนจะไม่มี คือมันก็พอมีครับแต่มันก็สมัยมัธยมปลายซะหมดที่ผมเคยเข้าการแข่งขันระดับจังหวัดการพัฒนาโปรแกรมเหรียญทอง แต่ไม่ได้ที่หนึ่งจึงไม่ได้ไปแข่งขันต่อระดับประเทศ ดังนั้นทางการศึกษาอาจจะมีตัวชี้วัดว่าผมเป็นคนทั่วไปคนหนึ่ง ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก

อย่างไรก็ตามผมก็เป็นคนที่เน้นศึกษาด้วยตนเอง และรู้เรื่อง นอกระบบการศึกษาโดยส่วนใหญ่ เช่น มหาวิทยาลัยยังสอนการใช้ภาษาโปรแกรม Java แบบไม่ทำ OOP แต่อย่างใดเลย ส่วนตัวผมก็ใช้ JavaScript/TypeScript ไปไกลแล้วนั้นเอง เพราะจำได้ว่าเคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยเคยสับสนว่าผมเอา JavaScript มารันเป็น Web Server ได้อย่างไร ซึ่งก็แค่ใช้ Node.js แค่นั้นเองบางท่านยังไม่ทราบเลย ทำให้ผมก็พอรู้จักตัวเองช่วงนั้นว่าผมมีความรู้เยอะ แต่เป็นความรู้นอกบทเรียนซะส่วนใหญ่ จึงทำให้ผมขี้เกียจจะจำโค้ด Java ไร้ OOP ที่ต้องเข้าสอบในมหาวิทยาลัย ขี้เกียจที่จะแก้เล่ม Thesis เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยพอใจในตัวผม ผมเลือกที่จะเขียนโค้ดต่อไปอย่างมีความสุขโดยไม่ค่อยสนใจระบบการศึกษาเท่าไหร่นั้นเอง

นั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมได้เกรดช่วงมัธยมน้อยอย่างมากอีกด้วยครับ เพราะมันมีวิชาสามัญมากเกินไป ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ใดๆ ผมเลยเหมือนเป็นเกเรียนตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว และเลือกที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้เท่านั้น และคิดว่าตัวเองเลือกมาถูกทางที่จะตั้งใจกับสิ่งที่ผมชอบ ดังนั้นมันก็คงเป็นจุดหนึ่ง ที่ผมเลย อยากสอน อยากที่จะเผยแพร่ความรู้ที่ผมมีที่ไม่เหมือนในระบบศึกษาเคยมีมาก่อน เพราะเหมือนผมจะมีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครๆเขา ที่เริ่มจากการชอบเล่นเกม จนมาสู่เป็นโปรแกรมเมอร์ที่สามารถสร้างและสอนไปพร้อมๆกันได้

#สิ่งที่ผมถนัดในการพัฒนาโปรแกรม

โดยรวมๆผมจะ ถนัดสาย Node.js เป็นพิเศษ และอยากไปทางเดียวเลยเท่านั้นหากเป็นไปได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Website, Web Server, Games, Desktop Application และ Mobile Application ผมจะเลือกทางเดียว เหตุผลง่ายๆเลยครับ ผมเองก็เป็นพวกขี้เกียจเรียนรู้หลายๆอย่างเช่นกัน จริงอยู่ผมอาจจะบ้าการเขียนโค้ด แต่ก็ไม่ใช่แปลว่าจะอยากรู้ทุกๆภาษาโปรแกรม ผมเองก็เลือกที่จะใช้ภาษาโปรแกรมที่ดีที่สุดครับผมและหลายๆคน ผมจึงได้เลือก Node.js ใช้งานเป็นหลักมานานกว่า 3 ปีครับ และจะนานมากขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีตัวมาแทนที่ Node.js

ดังนั้นผมจึงมีตัวถนัดก่อนหน้านั้นก็คือ php เป็นหลัก หรือ LAMP Stack (Linux, Apache, MySQL, php) นั้นเอง โดยใช้ Framework อย่าง Laravel ถือว่าเป็นขวัญใจของผมมากๆในอดีตเลยทีเดียว ก่อนที่จะย้ายมาใช้ MEVN Stack (MongoDB, Express, Vue.js, Node.js) อย่างเต็มรูปแบบในภายหลัง อย่างไรก็ตามผมก็มักจะติด Pattern ของ Laravel อย่าง MVC Model จึงทำให้ทิศทางของโครงสร้างแต่ละโปรเจคของผม ก็จะคล้ายๆกันเสมอด้วย

และส่วนตัวผมยังไงก็เป็น Full-stack Web Developer มาตั้งนานแล้ว เพราะการเป็นเช่นนี้ทำให้ผมได้เปรียบทางสายงาน และการสร้างแอปด้วยตนเองมากกว่า เพราะคนเดียวก็ทำได้หมด ดังนั้นแล้วผมที่จะต้องทำเองทั้งหมด ก็ต้องรู้จักเครื่องมือที่หลากหลายมากกว่า โดยคร่าวๆแล้วผมได้ทำโปรไฟล์ไว้บน https://stackshare.io/nakorndev/my-stacks ถึงสิ่งที่ผมเคยใช้และใช้ในปัจจุบันเป็นหลัก

#ประสบการณ์ทำงานกับวงการโปรแกรมเมอร์

จริงๆถ้าพูดแบบเกริ่นนำก่อน ส่วนตัวผมมักจะมีประสบการณ์ทำงานจริงไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากหลายๆปัญหา ทั้งปัญหาเรื่องเงิน ปัญหาเรื่องคน และปัญหาจากตัวงานที่มีต่างๆนาๆ แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่ได้รับมาต่างๆ ก็ทำให้เราหัดรับมือได้ดีกว่าเดิมมากขึ้น 💪

เริ่มต้นจากการทำงานเป็นฟรีแลนซ์ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย มีน้อยงานมากๆที่สำเร็จและได้เงินจริง เท่าที่ผมจำได้จะมีงานระหว่างเรียน ป.ตรี จนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดตามนี้

  • ได้รับงาน E-commerce จากญาติที่รู้จัก แต่ไม่ได้คุยกันให้เคลียร์ๆแต่แรกว่าทางผู้ว่าจ้างไม่อยากจ่ายเงินจำนวนมาก โปรเจคมูลค่าราวๆกว่า 80,000 บาท และถูกกีดกันจากบุคคลอื่นๆภายในอีกที เพราะไม่อยากเพิ่มระบบการขายจากเดิมที่เป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นโดยส่วนใหญ่ จึงทำให้พลาดโอกาสในงานนี้โดยไม่ดูสภาพแวดล้อมให้ดีก่อน
  • ได้รับงานทำเว็บค้นหาพริตตี้ในไทย จากบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จัก จากการประกาศรับจ้างตามอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป แต่เนื่องจากตัวเองไม่ได้เซ็นต์สัญญาใดๆเพราะไม่อยากรับเงินก่อนเริ่มทำ จากความรู้สึกที่เรายังเด็กเกินไป อยากพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าเราทำได้จริงประมาณ 30% ค่อยเริ่มรับเงิน กลายเป็นว่าหลังทำได้ถึง 30% จริงๆเขาก็บล็อกไลน์และขาดการติดต่อไปเลยโดยยังไม่รู้เหตุผลที่ยกเลิกชัดเจน ในตอนนั้นตกลงกันที่ราคาประมาณ 50,000 บาท
  • งานจากรุ่นพี่ ช่วยแก้ไขโปรเจคจบที่รับมา 5,000 บาท จากปัญหาโปรแกรม php ที่เขาใช้งานทำงานไม่สำเร็จ จริงๆพอโตมาก็รู้ตัวว่าไม่ควรทำเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป็นการซื้อขายใบจบปริญญาดีๆอย่างหนึ่ง เพราะปัญหาจากโปรเจคจบควรจะแก้ไขกันเองมากกว่าจ้างคนอื่นมาแก้อย่างเดียว
  • งานจากครูเก่าที่โรงเรียนมัธยม ถ้าให้จำไม่ผิดน่าจะได้แค่ 2,000 บาท จากการทำงาน 2 วันเต็มเพื่อสร้างแอปผ่าน Electron.js เพราะตอนนั้นเริ่มย้ายไปทาง Node.js และ Vue.js มากกว่าเดิม เพื่อทำแอปทำข้อสอบเล็กๆบนคอมเพื่อนำเสนอแก่โรงเรียน เป็นการวิจัยเล่นๆ และระบบก็ไม่ได้ดีมากนักเพราะยังไม่ได้เก่งขนาดนั้น
  • งานจากคนรู้จักครูเก่าอีกคน งานนี้ได้รับทำตอนหลังทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งแล้ว ต้องการทำระบบบันทึกข้อมูลแทน Excel เพราะจัดการข้อมูลลำบาก เป็นข้อมูลบุคคลที่เสียชีวิตและเกี่ยวกับการบริจาคในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร งานนั้นน่าจะรับมา 13,000 บาทใช้เวลาทำครึ่งเดือนโดยใช้ Electron.js + SQLite ในการเก็บข้อมูล นับว่าเป็นโปรเจคที่เหมือนจะสำเร็จ แต่สมัยนั้นผมใช้ Async/Await ยังไม่คล่องตัว และยังไม่มี Library ที่ใช้งานได้สะดวก จึงทำให้พบปัญหาหลายๆทางจาก Sequelize ทั้งการ Lock ฐานข้อมูลที่ทำให้ทำระบบ Backup ไม่สำเร็จ และอื่นๆ อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นงานที่ส่งมอบและใช้งานได้จริงที่ดีพอสมควร
  • งานจากอำเภอใกล้บ้าน เป็นงานหลังจากมีประสบการณ์ทำงานจริง 3 ปีได้แล้ว จึงมีประสบการณ์หลายๆทางอย่างมากที่ก็น่าจะรับมือได้ดี แต่กลับกันผมเลือกที่จะวางใจมากเกินไปเนื่องจากเป็นงานจากญาติสนิทพอสมควร ที่ต้องการทำเว็บบล็อกใหม่สำหรับอำเภอเพื่อกระจายข่าวสารต่างๆและตามระบบระเบียบที่รัฐบาลต้องการบางส่วน จึงไม่ได้เซ็นต์สัญญาอะไรเป็นพิเศษ และหลังเริ่มทำไปได้สักพักทั้งๆที่เกิดการพูดคุยจากคนใหญ่คนโตมามากมาย กลับถูกยกเลิกที่น่าจะเป็นเหตุผลเรื่องเงิน ทั้งๆที่ก็คิดราคาสนิทเพียง 28,000 บาทซึ่งนั้นเรียกว่าราคาถูกแล้ว (ตามปกติควรหลัก 50,000 บาทเป็นต้นไป) อาจจะเป็นเพราะเบิกไม่ได้หรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ในตอนนั้นได้เสียเวลาไปสัปดาห์เต็มๆในการพัฒนา และจ่ายค่าโดเมนเตรียมย้ายให้เรียบร้อย ถูกบอกยกเลิกหักหน้าแบบเต็มๆโดยไม่มีสัญญา จึงได้เรียกค่าเสียหายไป 8,000 บาทโดยเริ่มต้นไปก่อน นับจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำฟรีแลนซ์อีกเลย

ก็หลังจากพลาดมาหลายๆโปรเจค น้อยชิ้นที่จะสำเร็จตามที่ได้เขียนลงไป ถึงแม้จะได้เรียนรู้ปัญหามาเยอะ แต่ก็จะมีเรื่องหนึ่งที่เราแก้ไขไม่ได้เลยคือ ปัญหาจากคนที่จะจ่ายเงิน เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องระวังมากที่สุด ที่เราต้องสำรวจตัวผู้ว่าจ้างว่ามีเงินพร้อมจ่ายจริงหรือไม่ หรือพูดขึ้นมาว่าจะจ้างเราเพราะแค่อยากทำเพียงชั่ววูบหรือไม่ ดังนั้นเพื่อป้องกันคนเช่นนี้ที่อาจจะทำให้เราทำงานไม่สำเร็จ เราจะต้องทำสัญญาที่มีลายลักษณ์อักษรจากลายเซ็นต์ยินยอมเสมอ

นอกจากนี้แล้วก็จะมีประสบการณ์จากทำงานเป็นพนักงานเงินเดือน ที่ก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไปต่างๆ ซึ่งผมอาจจะปกปิดชื่อบริษัทเพราะอาจจะมีการพูดในทางที่ไม่ดีมากนัก ได้แก่

  • บริษัทเกี่ยวข้องกับ Online Platform เพื่อการศึกษา ในช่วงนี้ผมเป็น Intership ดังนั้นจึงไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการสร้าง Features ใหม่ๆมากนัก แต่ก็เป็นช่วงเรียนรู้ที่ดีที่สุด และยังเจอคนดีๆอีกมากมาย นับว่าเป็นที่ที่หนึ่งได้สร้างความทรงจำดีๆแก่ผมอย่างมาก แต่มีปัญหาทางเงินที่ได้แค่ 5,500 บาท ต่อเดือนแต่ทำงานเยี่ยงพนักงานประจำปกติคนนึงตามปกติ จึงรู้สึกไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นคิดว่าตัวเองควรได้อย่างน้อยๆก็หลัก 20,000 บาทต้นๆได้แล้ว
  • บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency จริงๆแล้วผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบระบบนี้ เพราะมองว่าไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ที่แท้จริง เป็นเพียงประโยชน์ทางการเงินเท่านั้นและสร้างมลพิษโดยไม่จำเป็น รวมทั้งความลำบากจากคนเล่นเกมอย่างราคาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หลักๆคือการ์ดจอถูกกักตุนและปั่นราคาสูงเกินจริง และนอกจากนี้สิ่งที่ผมเคยทำคือ ปลอมข้อมูลรีวิว ซึ่งเป็นงานที่ผมไม่ชอบอย่างมาก เพราะเป็นรีวิวที่จะมีระบบแอดมินใส่เลขได้เลย ว่า User ที่ซื้อ-ขายคริปโตมีรีวิวสูงเกินจริงนั้นเอง และยังรวมถึงการใช้ Junior ในการออกแบบทั้งระบบมากเกินไป จึงทำให้ระบบนั้นมีบัคและปัญหาอื่นๆมากเกินไป สุดท้ายผมจึงย้ายที่ทำงานเพื่อหาประสบการณ์ในที่อื่นๆต่อไป โดยที่นี่ผมเคยได้เรียกเงินไปจำนวน 30,000 บาทต่อเดือนตามประสบการณ์ แต่ว่าถูกปฏิเสธ และถูกต่อรองให้เหลือ 24,000 บาทต่อเดือนแทน ตอนนั้นก็ได้ยอมๆไป แต่ก็ทำงานได้ไม่ถึงปีหลังพบปัญหาเรื่องตัวงาน อย่างไรก็ตามเรื่องเพื่อนร่วมงานก็เจอแต่คนดีๆ ไม่เจอคนแย่เลย
  • บริษัทระดับใหญ่ด้านพัฒนาโปรแกรมเพื่อองค์กรหลายๆทางภายในไทย ทั้งภาครัฐฯและเอกชน เป็นที่ย้ายกลับมาหางานตามใกล้บ้านเกิดแทน จากเดิมที่ทำงานกลางกรุงเทพฯ พอดีที่แห่งนี้มี On-site ต่างจังหวัดจึงมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทใหญ่อย่างประหลาดใจ แต่ก็เริ่มมีปัญหาตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์งานเลยทีเดียวกับบริษัทนี้ เพราะมีการตกลงกันเสร็จแล้วที่เงินเดือน 26,000 บาทต่อเดือน กลับถูกโทรตามจาก HR ขณะขับรถกลับบ้านว่าผ่านสัมภาษณ์เรียบร้อย โทรมาว่า “พี่ว่าเงินเดือนเราเยอะเกินไป ขอต่อเหลือ 25,000 บาทแทน” ตอนนั้นผมเลยตอบส่งๆไปก่อนว่า “ก็ได้ครับ” นั้นก็เป็นเรื่องแรกที่ถูกหักหน้าเลย ทั้งที่สิ่งที่ผมควรทำคือแทบจะต้องด่าใส่ด้วยซ้ำในเวลานั้นเพราะผิดข้อตกลงหลังจะเตรียมเซ็นต์สัญญาอีก ต่อมาคือปัญหากับหัวหน้างานที่มีความ “ติสท์สูง” จริงๆผมนับถือเป็นคนที่เก่งมากๆคนนึงในไทยเลยล่ะ แต่ติดที่วิธีการพูดจาจะออกแนวเหยียดหยามคนไม่เก่งมากเกินไปหน่อย และคิดว่าทุกคนต้องทำตามที่แกต้องการมากเกินไป เรียกง่ายๆว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิดเห็นหรือโค้ดตามสไตล์ของเราเท่าไหร่เลย จึงมีความจุกจิกในการทำงานตลอดเวลา รวมทั้งการพูดส่อเสียดเล่นๆจากตัวแกหลายเรื่อง อย่างการใช้ Laptop Windows ส่วนตัวของผม แกก็ชอบหยิบหัวข้อเปรียบเทียบกับ Laptop Mac จนเป็นปกติซึ่งสร้างความรำคาญไม่น้อย จนผ่านมา 2 ปีกว่าๆผมจึงย้ายออก เพราะยังมีปัญหาเรื่องที่ผมเริ่มต้องดูแลลูกเมียที่บ้านเพิ่งคลอด สมัยที่มีไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักๆ ยิ่งทำให้ไม่อยากไปทำงานมากขึ้น ซ้ำคือบริษัทไม่ค่อยอนุญาตให้ Work From Home เท่าที่ควร จึงตัดสินใจลาออกด้วยหลายๆเหตุผลอย่างมาก และบริษัทแห่งนี้เองก็มีคนเข้าๆออกๆบ่อยมากเกินไป จึงทำให้เพื่อนร่วมงานที่รู้จักกันมาตลอดทำงานต้องจากลากันเยอะ จากกลุ่มสนิทกินข้าวด้วยกัน 6 คนสุดท้ายเหลือ 3 คนรวมผม ผมจึงตามออกไปอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่อง Impact หลักๆเลยที่มีคนสนิทออกที่ทำงาน จะทำให้เราไม่อยากอยู่ในที่ปัจจุบันอีกด้วย เพราะอาจจะต้องเจอคนที่เราไม่ชอบบ่อยมากขึ้นอีกด้วย

หลังจากหลายๆคนอ่านดูมาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะเห็นว่าผมพบเจอ Events ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเลย แต่อย่างไรก็ตามการเจอปัญหาแบบนี้เลยสร้างตัวตนของผมขึ้นมาเป็นคนที่เข้าใจปัญหาหลายๆด้าน หลังผมได้เป็นหัวหน้ากับบริษัทในปัจจุบันที่ CareerVisa Digital จริงๆแล้วที่นี่ก็มีปัญหาเฉพาะทางเช่นกันซึ่งอาจจะขอสงวนไม่พูดออกมาครับ แต่ก็ได้มีบทบาทในการร่วมแก้ไขปัญหา และดูแลคนในทีมหลายๆทางอย่างดี ซึ่งคิดว่าก็คงไม่มีน้องๆคนไหนเกลียดผมหรอกนะ ถึงแม้ว่าผมอาจจะดุในบางเรื่องไปบ้างเพื่อการกระตุ้นให้ทำดีขึ้น เช่น การมาสายบ่อยครั้ง การทำงานไม่เสร็จตามที่ต้องการ เป็นต้น จริงๆผมเองก็อาจจะขี้บ่นจุกจิกเหมือนกันจากการเป็นคนที่ไม่ค่อยเจอเรื่องดีๆกับการทำงานมาเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวผมก็พยายามที่จะมองบวกมากขึ้นในการทำงานต่างๆช่วงนี้

#ประสบการณ์ทำคอร์สเรียน

และจากที่เล่ามาทั้งหมดแล้ว ขอกลับมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการทำคอร์สเรียนออนไลน์กันบ้างดีกว่า ปัญหาแรกเลยครับในการทำคอร์สเรียนคือ “เราเป็นคนพูดไม่เก่งมาก” จริงๆส่วนตัวผมเป็นคนพูดมาก ขี้คุยขี้โม้กับเพื่อนๆ แต่การพูดคนเดียวหน้าคอมนั้นเหมือนจะต้องใช้ทักษะคนละแบบไปเลย ที่ต้องเดาความคิดของผู้เรียนเสมอ ว่าผู้เรียนกำลังสงสัยอะไรหรือไม่? กำลังไม่เข้าใจอะไรหรือเปล่า? เพราะผู้เรียนออนไลน์ไม่สามารถตั้งคำถามกับผมได้

ในช่วงแรกที่ผมจะหัดทำคอร์สเรียนออนไลน์ คือได้รับแรงบันดาลใจจากการอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เปิดโอกาสให้ผมเป็นวิทยากรสอนรุ่นน้องที่เข้ามาเรียนใหม่ทั้งห้อง เพราะทางนั้นมีปัญหาเรื่องเด็กใหม่ไม่เข้าใจพื้นฐานการเขียนโค้ดบ่อยครั้ง จึงมีการจัดตั้งแบบรุ่นพี่ปีสองสอนน้องใหม่ทุกๆปี (ไม่แน่ใจชื่อว่าอะไร) ซึ่งผมก็เป็นคนแรกในโครงการนี้ และหลังจากที่ตัวเองสอนคนอื่นไปสักพักก็รู้สึกว่า “เราสนุกที่ได้สอนคนอื่น” แล้วคือไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมเองก็เคยเป็นผู้เรียนที่เจอครูบาอาจารย์หรือติวเตอร์ออนไลน์อะไรก็ตาม “ที่สอนเราไม่ค่อยรู้เรื่อง” ผมเลยรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยสิ่งที่ผมเข้าใจอยู่คนเดียว ออกมาหน้าห้องเรียน ว่าผมเข้าใจแบบนี้ ลองสอนแบบนี้จะเข้าใจมากกว่าหรือไม่? ซึ่งจริงๆผมก็ไม่ได้รับคำตอบจากรุ่นน้องขนาดนั้นว่าผมสอนเข้าใจดีมากน้อยแค่ไหน เลยทำให้ผมอยากลองทำหน้าคอมอย่างคอร์สเรียนออนไลน์บ้าง

จริงๆผมก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเรียนผ่าน Laracasts อีกด้วย คือชอบวิธีการสอนของเขา เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ที่สอนการใช้ Laravel เป็นหลักและอื่นๆมากมาย ที่ทำให้ผมเลยเข้าใจว่ามี Vue.js ที่น่าใช้งานอย่างมาก จึงทำให้เริ่มทำความรู้จัก Node.js ในภายหลังอีกที ก่อนจะย้ายไปใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในระหว่างนั้นผมจึงได้ทำคอร์สเรียนออนไลน์ผ่านหน้าคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเป็นคอร์สเรียนแรกเป็นภาษาซี อุปสรรคก็มีหลายๆทาง ทั้งทางการเขียนโค้ดที่ก็ยังไม่เก่งมากนัก ยังใช้เครื่องมือไม่หลากหลาย ไมค์พูดที่ไม่ค่อยดี เว็บแคมที่ก็ไม่มี โปรแกรมก็ฟรีที่ไม่ได้พร้อมต่อการใช้งาน ที่บ้านก็ไม่ได้เงียบสงบ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมาต่อเนื่องมากๆ โดยคอร์สเรียนแรกนั้นก็ได้ลงขายร่วมกับทาง SkillLane โดยมีส่วนแบ่งราวๆ 70/30 ซึ่งผมจะได้ 70% ของการขายทั้งหมด (ยังไม่รวมภาษี)

ดังนั้นในช่วงหนึ่ง ผมจึงพยายามจะทำเป็นของตัวเอง ทั้งรูปแบบ Platform หรือขายผ่านเพจต่างๆ เพื่อที่จะหวังได้กำไร 100% แต่เพียงผู้เดียว แต่ก็พบว่าการทำตลาดคนเดียวนั้นลำบากอย่างมาก คือนอกจากผมจะไม่เป็นที่รู้จักแล้ว ความน่าเชื่อถือก็ต่ำกว่า จึงมีลูกค้าน้อยอย่างมาก จึงทำให้หลังๆเริ่มผันตัวมาทำคอร์สเรียนสอนสดแบบตัวต่อตัวขณะหนึ่ง ก็พบว่าไม่เลวเลย เพราะผมก็รู้สึกสนุกใช้ได้ในการสอน แต่ด้วยความที่สภาพแวดล้อมในบ้านของผมเองนั้น เป็นบ้านหลังเล็กขนาดไม่เกิน 100 ตร.ม.ที่อยู่กันมากกว่า 6 คนในบ้านชั้นเดียวอีกด้วย จึงมีเสียงดังจากหลายๆกิจกรรมของคนรอบตัวอยู่ไม่น้อย จังหวะในการทำจึงไม่ดีมากนัก ประกอบกับเริ่มมีคิวนัดมากขึ้น ทำให้สอนได้ไม่ทั่วถึงจึงต้องจำกัดวันละ 2-3 คนเท่านั้น ก็เลยรู้สึกกระจายความรู้ไม่ทั่วถึงแก่ทุกคน จึงได้กลับมาทำคอร์สเรียนกับทาง SkillLane ตามเดิมใหม่อีกครั้ง โดยวางแผนใหม่ทั้งหมด จนมาเป็นนครโค้ดในวันนี้

นอกจากนี้แล้ว ผมจะมีความรู้สึกไม่อยากขายคอร์สเรียนเก่าในโปรไฟล์ นคร สินผดุง ที่นอกเหนือจาก นครโค้ด ได้ทำไว้ ก็คือถ้ามีลูกค้าท่านใดมาสอบถามถึงคอร์สเรียนเหล่านั้น ผมก็จะบอกให้ซื้อของใหม่ภายใต้ชื่อ นครโค้ด ดีกว่านั้นเอง เนื่องจากคอร์สเรียนเก่านั้นเป็นสมัยที่มีปัญหาหลายๆทางมาก คนรีวิวแง่ลบก็มีพอสมควรครับ และไม่ได้สอนดีเลยเพราะยังเป็นตัวตนในอดีตที่ไม่เก่งมากนัก

ดังนั้นผมก็ปรับตัวมาเรื่อยๆ อย่างการใช้ไมค์ที่ราคาแพงขึ้นในการบันทึก ซื้อโปรแกรมสำหรับบันทึกหน้าจอคอมที่ดีกว่าเดิมและมีลูกเล่นต่างๆ การฝึกฝนพูดหน้าคอมพิวเตอร์คนเดียว บางทีขับรถไปทำธุระคนเดียวยังฝึกพูดไปเรื่อยเลยครับ และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เราสอนไม่เข้าใจต่างๆ จนออกมาเป็นคอร์สเรียนที่ผมคิดว่าทำได้ดีถึง 8 เต็ม 10 เท่าที่ชีวิตผมจะทำได้เลย นั้นหมายถึงผมคิดว่า ผมคิดว่าผมสอนได้ดีมากกว่านี้ ก็อาจจะมีคอร์สเรียนในอนาคตออกมาอีกชุดใหญ่ก็ได้ ซึ่งผมคาดการณ์ตัวเองว่าคงใช้เวลาฟาร์มความรู้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2022 นี้ คงยาวถึงปี ค.ศ.2025 หรือนานกว่านี้ถึงจะมีคอร์สเรียนชุดใหญ่อีกรอบครับ ถ้าใครสนใจก็สามารถติดตามผ่านทาง Facebook ได้ตลอดเวลา

#สิ่งที่อยากทำในอนาคต

ถึงแม้ว่าเหมือนผมจะชอบงานสอน จริงๆแล้วผมอยากเป็นโปรแกรมที่สร้างแอปได้จริงมากกว่า เพราะว่าส่วนหนึ่งผมเคยมีคติว่า “การเป็นครูสอนจะเริ่มหยุดเรียนรู้” เพราะเกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์ส่วนตัว เนื่องจากการเรียนการสอนนั้นจะต้องเริ่มจากศูนย์เป็นส่วนใหญ่ และอาจจะใช้เวลากับเนื้อหาขั้นพื้นฐานมากเกินไป จึงทำให้ผมคงไม่สามารถรู้จักเนื้อหาขั้นสูงไปกว่านี้ ทั้งยังขาดประสบการณ์ใช้งานจริงอีกด้วย

รวมทั้งคติที่ผมก็คิดมาเสมอว่า “การที่นำความรู้มาสอนคนอื่นได้ แปลว่าอาจจะนำความรู้ไปใช้จริงไม่ได้” เพราะผมคิดว่าเราเรียนมาทั้งชีวิตก็คงไม่เพื่อเป็นครูสอน ก็ควรเป็นคนที่นำความรู้ตรงนั้นเอาไปใช้ต่อได้จริงอีกด้วย ผมเลยไม่อยากทำงานเป็นแค่ผู้สอน ยังอยากเป็นผู้สร้างเพื่อไม่ให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่าแค่ทางเดียวด้วย เพราะไหนๆก็ศึกษามาได้ขนาดนี้แล้ว ก็ควรปฏิบัติให้ได้จริงมากๆว่านี้ เพราะว่า ผมยังไม่มี Products หรือ Services ใดๆเป็นชิ้นเป็นอันเลย อย่างน้อยๆก็มีคอร์สเรียนออนไลน์แล้ว แต่ก็อยาก Launch แอปของใหม่ ที่เริ่มจากการเขียนโปรแกรมฝีมือของผมล้วนๆอีกด้วย

ดังนั้นผมอาจจะ เลิกเป็นครูสอน ในอนาคตนี้ได้นะครับ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันว่าจะไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ จะมี Stack ใหม่ๆอะไรที่น่าสอนมากกว่านี้หรือไม่ เพราะผมคิดว่าผมได้ทำหน้าที่นี้ไปพอสมควรแล้ว อยากจะถึงเวลาทดสอบตัวเองมากกว่านี้ ทำความเข้าใจตลาด ความต้องการของคนจริงๆ ที่อยากจะมีเกมเล่นสนุกๆหรือแอปใช้งานสะดวกต่างๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาหลังจากนี้ว่าผมเองนั้น จะสามารถสร้างอะไรได้ออกมาบ้าง ถ้าสร้างได้ก็จะมาเล่าสู่กันฟังในหลายๆรูปแบบครับ

#ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว

ถ้าเล่านำก่อนก็คือ ผมเป็นคนติดเกม น่าจะพูดแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนมากจะเป็น PC Games ล้วนๆ ไม่ค่อยมี Console เพราะส่วนตัวเน้นเล่นและม็อดบางเกมไปด้วย อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ผมจะเล่นแบบไม่มีม็อดซะมากกว่า และเล่นเกมหลากหลายมาก อันนี้จริงก็เรียกได้ว่าผมเล่นแทบทุกแนวเลย ยกเว้น RTS, Fighting, JRPG ซึ่งผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แต่ก็เล่นได้บ้างแล้วแต่เกมไป ส่วนมากก็เล่นเกมดังๆไปเลยหรือเกมระดับ AAA ที่จะใช้คอมพิวเตอร์อย่างเต็มพิกัด และยังมี Racing Sim อีกด้วยที่ผมชอบถึงขั้นมี Sim Wheel ไปอีก แต่ก็ไม่ได้เล่นแข่งขันอะไรขนาดนั้น เล่นเป็นงานอดิเรกมากกว่าและชอบแนว Arcade ซะส่วนใหญ่อย่างตระกูลทาง Forza Horizon ซึ่งถ้าให้ผม List รายการคงเยอะมาก เกมผมชอบเยอะ ถ้าให้ชอบที่สุดคงเป็นแนว Souls ต่างๆอย่าง Elden Ring เกมล่าสุดเลย รองๆมาก็ Simulator & Sandbox อย่าง The Sims, Cities Skyline, Satisfactory เป็นต้น ก็เอาเป็นว่าผมเล่นหลากหลายจริงๆ และมักจะเป็นเกมเล่นคนเดียวโดยส่วนมาก

ตอนนี้ผมก็ได้มีครอบครัวของตัวเอง 3 คนพ่อแม่ลูกเรียบร้อย มีลูกเป็นลูกสาวเพิ่งเกิดปี ค.ศ.2021 ที่ผ่านมา ดังนั้นก็เรียกได้ว่าผมเป็นพ่อมือใหม่เลย เรื่องราวความรักคงไม่ต้องเล่าเยอะ เน้นแค่ว่าตอนนี้เวลาผมจะทำอะไรก็ตามก็จะเริ่มคิดถึงครอบครัวและตัวเองมากขึ้นนั้นเอง

ต่อมาคือวิถีชีวิตของผม ปัจจุบันก็ยังทำงานเป็นพนักงานประจำ ไม่ได้ประกอบอาชีพส่วนตัว แต่ทำที่บ้านจึงมีโอกาสมีเวลาว่างต่างๆ เพื่อทำงานส่วนตัวได้มากมายรวมถึงคอร์สเรียนออนไลน์ แต่บ้านที่ผมอาศัยนั้นเล็กอย่างมาก จึงมีอุปสรรคอย่างที่ได้ว่าไว้ ก็เลยอาจจะทำให้ผมเลิกทำคอร์สเรียนสักระยะใหญ่ๆอีกด้วย เพราะลูกเองก็ยังเล็กทำให้มาป่วนบ่อยๆเช่นกัน ดังนั้นผมเองก็เลยมีความฝันว่าจะหาเงินจนสามารถสร้างบ้านหลังเล็กๆใหม่

อย่างไรก็ดี เมื่อผมแก่มากกว่านี้ผมก็เองก็วางแผนไว้บ้างแล้วว่าอาจจะหยุดเขียนโค้ดเพื่อทำเป็นงานก็ได้ อาจจะคงเหลือไว้เป็นงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวก็พอ เพราะผมเองมีโรคประจำตัวหลายทาง ทั้งทางจิตอย่างเป็นโรคแพนิค ทำให้โปรแกรมเมอร์ปกติที่เขาชอบกินกาแฟกันซึ่งผมเองก็ชื่นชอบคาเฟอีนมากๆ ก็อดดื่มครับ ผมดื่มเครื่องดื่มพวกนี้แม้แต่น้อยไม่ได้เลยแม้กระทั่งโคล่า เพราะมีคาเฟอีนอยู่ด้วย และก็มีเรื่องโรคกระเพาะที่ยังรักษาไม่หายอีกเป็นเรื้อรังนานกว่า 1 ปีแล้ว น่าจะนอกจากไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็ยังเป็นงานที่ใช้สมองหรือเคยมีประวัติเจอเรื่องไม่ดีทางสายอาชีพของผมนัก ก็เลยทำให้เป็นคนเจอเรื่องเครียดบ่อยจนเป็นโรคกระเพาะครับ เพราะผมเองไม่ได้มีน้ำหนักเกินขนาดนั้น เป็นคนท้วมๆคนนึงที่สูง 184 ซม.ครับ

ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าหลังจากนี้ก็จะพักผ่อนหลังจากทำคอร์สเรียนครบทั้งหมด ซึ่งจริงๆก็ครบหมดแล้วด้วย ดังนั้นหลังจากนี้ช่วงนึงผมก็จะดูแลเรื่องสุขภาพอย่างหนักก่อนครับ

#บทสรุป

โดยรวมๆเรื่องราวชีวิตของผมกับการเป็นโปรแกรมเมอร์ก็มีประมาณนี้ครับ ก็อาจจะมีเรื่องแย่ๆมาเล่าให้ฟังเยอะเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เจอเรื่องดีๆเลย เพียงแต่ประสบการณ์แย่ๆการมาเล่าให้ฟังนั้นก็อาจจะเป็นการสอนวิธีแบบหนึ่งได้ด้วย ที่เราจะต้องระวังเกี่ยวกับเรื่องอะไร และหากเจอปัญหาเข้ามาจะรับมืออย่างไรด้วยนั้นเอง

บทความถัดไป ➡️
ใช้ Emoji เพื่อการสร้างคอนเทนต์อย่างหลากหลาย รวมถึงการพัฒนาโปรแกรม

เกี่ยวกับผู้เขียน

นคร สินผดุง Nakorn Sinpadung

นคร สินผดุง (Nakorn Sinpadung)

โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ

  • ปัจจุบันเป็นติวเตอร์ออนไลน์ สอนพัฒนาโปรแกรม
  • ปัจจุบันเป็นพนักงานประจำระดับ Senior Programmer ที่ CareerVisa Digital
  • มีประสบการณ์ทำงานจริงในบริษัทต่างๆมากกว่า 4 ปี
  • มีประสบการณ์สอนผ่านออนไลน์นานกว่า 6 ปี